หลากหลายมุมมองว่าด้วย "การทะเลาะวิวาทในรัฐสภา" โดย พิชญ์ พงษ์สวัสดิ์
วันที่ 04 กันยายน พ.ศ. 2556 เวลา 16:41:09 น.
madpitch@yahoo.com
การทะเลาะวิวาทในรัฐสภา (parliamentary brawling) หรืออีกชื่อหนึ่งก็คือ "ความรุนแรงทางนิติบัญญัติ" (legislative violence) เป็นปรากฏการณ์ทางการเมืองที่เริ่มมีการศึกษาอย่างจริงจังในทางรัฐศาสตร์มากขึ้น นอกเหนือไปจากการวิพากษ์วิจารณ์กันอย่างกว้างขวางที่เกิดขึ้นอยู่แล้ว
เริ่มจากการให้คำจำกัดความของเว็บไซต์อย่าง wikipedia.com ที่กล่าวว่าความรุนแรงทางนิติบัญญัตินี้หมายถึงการปะทะกันด้วยความรุนแรงระหว่างสมาชิกสภานิติบัญญัติ โดยเฉพาะในลักษณะของความรุนแรงทางกายภาพที่เกิดขึ้นในสภา และมักจะเกิดจากประเด็นที่มีลักษณะที่แบ่งแยกกันอย่างชัดเจน และคะแนนโหวตมีลักษณะที่ใกล้กันมาก และปรากฏการณ์ดังกล่าวนี้เกิดขึ้นในหลายแห่งทั่วโลกและเกิดขึ้นมาอย่างยาวนานต่อเนื่องกันซะด้วย
ตัวอย่างที่เป็นอมตะที่สุดตัวอย่างหนึ่งเห็นได้จากกรณีของยุคโรมัน เมื่อจอมเผด็จการ จูเลียต ซีซาร์ ได้ถูกลอบสังหารโดยเหล่าวุฒิสมาชิกเมื่อ 44 ปีก่อนคริสตกาล ทั้งนี้การวางแผนได้เกิดขึ้นมานานแล้ว และสุดท้ายแผนที่สำเร็จก็คือเมื่อบรรดาวุฒิสมาชิกได้วางแผนลวงซีซาร์ด้วยการเขียน ฎีกาปลอม เพื่อให้ซีซาร์ฯมอบอำนาจให้กับวุฒิสภา อันนำไปสู่การเรียกประชุมของจูเลียต ซีซาร์และเขาก็ถูกแทงตาย เหตุการณ์ดังกล่าวนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญของอาณาจักรโรมัน ได้แก่การสิ้นสุดลงวิกฤตในสาธารณรัฐ และนำไปสู่สงครามกลางเมือง และในท้ายที่สุดก็คือการสถาปนาอำนาจของ ซีซาร์ ออกุสตุส และการแก้แค้นให้แก่จูเลียส ซีซ่าร์ด้วยการสังหารหมู่ทั้งวุฒิสมาชิกและอัศวินจำนวนมาก
ตัวอย่างอื่นๆ ที่น่าสนใจก็คือ ปรากฏการณ์การทะเลาะวิวาทในสภาในปี 2007 ในโบลิเวีย และในสภาระดับแคว้นของอินเดียในปี 1989 1997 และ 2009 ในเม็กซิโกปี 2006 ไนจีเรียปี 2010 เกาหลีใต้ 1998 2004 2009 2010 เปรู 1988 1998 2000 2006 2011 ไต้หวันในปี 2004 (สามครั้ง) 2006 2007 และล่าสุดเมื่อวันที่ 2 สิงหาคม 2013 นี้เอง (กรณีเรื่องการประท้วงการออกกฎหมายให้มีประชามติในการสร้างโรงไฟฟ้านิวเคลียร์แหล่งที่ 4) ส่วนในยูเครน ก็มีในปี 2010 และ 2012 ในอเมริกาปี 1798 1856 1858 1887 1902 2007 และ 2011 (หลายครั้งเกิดในระดับมลรัฐ) เวเนซุเอลาในปี 2013
แม้ในกรณีของสภายุโรปเองก็เกิดปรากฏการณ์การทะเลาะวิวาทในปี 1988 เมื่อมีชนวนมาจากการวิจารณ์สันตปาปา และนำไปสู่การโห่ และขว้างปาสิ่งของจนกระทั่งต้องจัดการให้มีการออกนอกห้องประชุมกันไป
ส่วนในอังกฤษ จะเห็นว่าการจัดวางตำแหน่งเก้าอี้ในสภาสามัญชน จะมีการแบ่งที่นั่งของฝ่ายรัฐบาลกับฝ่ายค้านด้วยเส้นแดงที่ลากบนพรม และจะมีระยะห่างประมาณสองช่วงดาบ (two sword-lengths apart) และแม้ว่าทั้งสองฝ่ายจะเผชิญหน้ากัน (จริงๆ ในสภา) แต่ก็ห้ามข้ามเส้นไปยังอีกฝ่ายหนึ่ง (ในอดีตเรื่องนี้สำคัญเพราะสมาชิกสภาสมัยก่อนเขาให้พกอาวุธเข้าไปได้) และก็เห็นจะมีครั้งเดียวที่มีการต่อยกัน เพราะสมาชิกอิสระท่านหนึ่งในปี 1972 ต่อยหน้าสมาชิก (ที่เป็นรัฐมนตรีมหาดไทย) ของพรรคอนุรักษนิยม หลังจากข้อถกเถียงกันเรื่องการปราบการชุมนุม และสมาชิกอิสระท่านนั้นรับไม่ได้เพราะขัดกับข้อมูลที่เธอเชื่อ และเธออ้างว่าเธอไม่ได้รับสิทธิในการพูด (แต่ครั้งนั้นเธอก็ถูกแบนจากสภาไปหกเดือนทีเดียว)
ประเด็นหนึ่งที่น่าสนใจที่เว็บไซต์ wikipedia พยายามชี้ก็คือ เราอาจจะต้องมองว่าความรุนแรงทางนิติบัญญัติที่เกิดขึ้น ควรจะได้รับการพิจารณาต่อไปอีกว่าเป็นทั้งความรุนแรงทางการเมือง (political violence) ที่มีความหมายสำคัญว่า นอกเหนือจากความรุนแรงทางการเมืองนั้นเป็นสิ่งที่ถูกต้องชอบธรรมแล้ว ยังเป็นสิ่งจำเป็นอีกด้วย (อาจเพราะเชื่อว่าระบบการเมืองที่มีอยู่จะไม่ยอมรับฟังข้อเรียกร้องที่ผู้ก่อความรุนแรงทางการเมืองมีหากไม่ใช้ความรุนแรง) และ ความรุนแรงในที่ทำงาน (workplace violence) ซึ่งอาจจะมีความหายในแง่ของความรุนแรงทางกายภาพที่เป็นการละเมิดหรือข่มขู่เพื่อสร้างความเสี่ยงต่อสุขภาวะและความปลอดภัยแก่ผู้ที่อยู่ในที่ทำงาน
แต่ผมอยากจะเพิ่มไปหน่อยว่า ในหลายสังคมนั้นความรุนแรงทางนิติบัญญัตินั้นไม่ใช่ความรุนแรงทางการเมืองในลักษณะที่อันตรายมาก หรือจงใจเอาเป็นเอาตาย หากเทียบกับความรุนแรงทางการเมืองแบบอื่น แต่ความรุนแรงทางนิติบัญญัติที่เกิดขึ้นนั้นมีลักษณะที่ีตระการตา (spectacle) และมีลักษณะเป็นการแสดงออกเยี่ยงการแสดง (performative) อันเนื่องมาจากการที่การประชุมสภานั้นมีการถ่ายทอดสดทางโทรทัศน์ด้วยนั่นเอง ซึ่งในแง่นี้ผมต้องการจะชี้ว่าประเด็นสำคัญจึงไม่ได้อยู่ว่า "จริง" หรือ "เสียหาย" มากแค่ไหนในการทะเลาะกัน มากกว่าได้มีการทะเลาะกันพอที่จะได้รับรู้ที่ความเอาจริงเอาจังในการแสดงบทบาทดังกล่าวเสียมากกว่า
ทีนี้เรื่องราวถัดมาที่น่าพิจารณาก็คือ เรื่องราวที่ว่าความรุนแรงทางนิติบัญญัตินั้นเป็นเรื่องน่าอับอายหรือไม่? ก็คงต้องขอตอบว่าทัศนคติจำนวนหนึ่งกลับมองว่าความรุนแรงทางนิติบัญญัติเช่นนี้นั้นเป็นเสมือน "ราคาที่ต้องจ่าย" ของประชาธิปไตยที่เต็มไปด้วยเสรีภาพ
อย่างน้อยเราก็จะเห็นว่ามีแต่ประเทศที่ประชาธิปไตยมีลักษณะที่เสรี โดยเฉพาะเมื่อมีประชาธิปไตยทางสื่อด้วยแล้ว จึงจะมีการทะเลาะเบาะแว้งที่มีสีสันเช่นนี้ (หรือ "สีสัน" สำคัญกว่า "เสียหาย" นั่นเอง) ดังความเห็นของนักกิจกรรมทางการเมืองของจีนแผ่นดินใหญ่ท่านหนึ่งที่มีต่อการทะเลาะวิวาทในสภาไต้หวัน ที่เขาชี้ว่าทะเลาะกันในสภาในแบบ "ผลักกัน" ยังดีกว่า "เอารถถังมาบดขยี้ประชาชนในท้องถนน" ทั้งนี้ในบทความของ The Atlantic โดย Lily Kuo ชี้ว่านี่คือราคาที่ต้องจ่ายของประชาธิปไตยที่เพิ่งเติบโต ซึ่งอย่างน้อยก็ต้องเห็นว่ามีความกระตือรือล้นในการลงคะแนนเสียงเลือกตั้งถึงร้อยละ 75 ทีเดียว
ทีนี้คำถามที่ยังไม่ได้อภิปรายก็คือ ความรุนแรงทางนิติบัญญัติเกิดจากอะไรและจะทำนายและแก้ไขได้อย่างไร? ผมก็จะขอเอ่ยถึง รายงานวิจัยของ Christopher Gandrud ซึ่งสอนอยู่ที่มหาวิทยาลัย Yonsei ในเกาหลีใต้ที่ชื่อ Two Sword Lengths: Losers" Consent and Violence in National Legislatures (2012) ซึ่งอาจจะแปลคร่าวๆ ว่า "การสร้างประชาธิปไตยที่ปราศจากการทะเลาะวิวาทในสภา และการทำความเข้าใจถึงการยอมรับต่อระบอบการเมืองของฝ่ายแพ้/ฝ่ายค้าน" (สังเกตว่าการใช้ชื่อว่า "ระยะสองช่วงดาบ" ก็มาจากกรณีการออกแบบพื้นที่กายภาพในสภาสามัญชนของอังกฤษนั่นเอง)
รายงานวิจัยชิ้นนี้มีประเด็นน่าสนใจมากเพราะว่าพยายามเก็บข้อมูลเชิงปริมาณและวิเคราะห์อย่างเป็นระบบ รวมทั้งพยายามถกเถียงกับประเด็นทางรัฐศาสตร์ในเรื่องของประชาธิปไตยอย่างลึกซึ้ง จนผมต้องขอนำเอาบางส่วนมาเล่าสู่กันฟัง
โดยของสรุปย่นย่ออย่างง่ายๆ ตามความเข้าใจของผมก็คือ การทะเลาะวิวาทในรัฐสภานั้นเกิดจากการที่ฝ่ายแพ้ (legislative loser) นั้นไม่ยอมแพ้และไม่ยินยอมที่จะอยู่ใต้การปกครองของฝ่ายที่ชนะ และสิ่งนี้นั้นเป็นสิ่งที่บ่งบอกถึงคุณภาพของประชาธิปไตยที่ห่างไกลจากอุดมคติ
ที่สำคัญในฐานะนักรัฐศาสตร์นั้นเราต้องทำความเข้าใจและสามารถที่จะนำเสนอการปรับปรุงสภาบันทางการเมืองเพื่อให้ประชาธิปไตยนั้นมีคุณภาพที่ดีขึ้นได้
ตัวแปรที่สำคัญที่นักวิชาการท่านนี้ชี้ให้เห็นก็คือ เรื่องของอายุขัยของประชาธิปไตย และลักษณะของความสัมพันธ์ระหว่างความเป็นจริงของการเมืองกับการออกแบบสถาบันการเลือกตั้งว่ามันสะท้อนความเป็นจริงทางการเมืองมากน้อยแค่ไหน
กล่าวง่ายๆ ก็คือ เขามองว่าความรุนแรงทางนิติบัญญัตินั้นมักจะเกิดขึ้นในประเทศที่มีประชาธิปไตยมาไม่นาน และมีประชาธิปไตยแบบ "เสียงข้างมาก" (majoritarian) มากกว่า แบบ "เห็นพ้องต้องกัน/ยอมรับร่วมกัน" (consensual)
การมีประชาธิปไตยมาไม่นานนั้น ไม่ใช่เรื่องของอายุเป็นเพียงตัวเลขหรืออะไรหรอกครับ แต่มันหมายถึงว่าบางทีฝ่ายรัฐบาล และฝ่ายค้านยังไม่สามารถมีความอดทนพอที่จะแพ้ เพราะกล้วว่าจะไม่สามารถมีโอกาสชนะ นั่นแหละครับ ดังนั้นก็เลยไม่สามารถคิดได้ว่าแพ้วันนี้ก็จะกลับมาชนะได้ในอนาคต
ประการต่อมา การทะเลาะวิวาทในสภานั้นในทางหนึ่งก็เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นในสังคมที่ไม่ได้มีเสียงข้างมากแบบสุดโต่ง เพราะแน่หละว่าเมื่อมีเสียงข้างมากอย่างสุดโต่งก็คงจะค้านไม่ได้ หรือคานการผลักดันนโยบายของรัฐบาลไม่ได้ แต่ในอีกทางหนึ่ง การที่ฝ่ายค้านไม่ยอมแพ้ และตัดสินใจลุยจนถึงที่สุดก็อาจเป็นไปเพราะว่า เขาเชื่อว่าระบบการเลือกตั้งอันเป็นที่มาของการก้าวสู่อำนาจทางการเมืองนั้นมีความบกพร่องอยู่มาก
ด้วยว่าอาจจะเป็นการเลือกตั้งแบบประชาธิปไตยเสียงข้างมาก มากกว่าประชาธิปไตยแบบยอมรับร่วมกัน ซึ่งหมายถึงการออกแบบระบบการเลือกตั้งที่สะท้อนความเป็นจริงทางความเห็นของประชาชนให้ได้มากที่สุด อาทิการออกแบบระบบการเลือกตั้งแบบสัดส่วนที่สะท้อนความเป็นจริง มากกว่าระบบการเลือกตั้งที่ชนะกันรอบเดียวเลย (ขยายความว่า ในบางพื้นที่อาจชนะกันฉิวเฉียด แต่บางพื้นที่ชนะกันขาดมากๆ ถ้าเกลี่ยกันทั้งประเทศจริงๆ อาจชนะกันไม่มาก)
(บ้านเราไม่ค่อยถกเถียงกันเรื่องนี้แล้วครับ เลยต้องย้ำสักหน่อย เพราะบ้านเราคิดแต่ว่าจะไม่ปรับระบบเลือกตั้ง แต่จะแทนที่ด้วยระบบอื่นเสียมากกว่า)
ดังนั้นเมื่อฝ่ายที่แพ้รู้สึกว่าตนจะแพ้ในระบอบการเมืองที่เชื่อว่าตนไม่มีทางจะชนะในการเลือกตั้งได้ (ไม่ว่าจะเพราะเชื่อว่าไม่มีวันชนะ หรือเพราะเชื่อว่าระบบเลือกตั้งนั้นไม่เป็นธรรม) ช่องว่างระหว่างผู้แพ้กับผู้ชนะก็จะกว้างขึ้นและทำให้ฝ่ายผู้แพ้รู้สึกว่าความพ่ายแพ้ความเจ็บปวดร้าวรานและทำให้การยอมรับการตัดสินใจของฝ่ายชนะเป็นไปอย่างยากลำบาก ยิ่งเมื่อการตัดสินใจของฝ่ายชนะจะมีผลต่อการปรับเปลี่ยนนโยบายที่ีต่างไปจากจุดยืนของฝ่ายแพ้ ดังนั้นการตัดสินใจละเมิดกติกาจึงเป็นเรื่องที่จำต้องเกิดขึ้นในมุมมองของฝ่ายแพ้
ในแง่นี้การพยายามสร้างประชาธิปไตยแบบยอมรับร่วมกันหมายถึงการออกแบบสถาบันการเมืองอาทิ ระบบการเลือกตั้ง ที่จะทำให้เกิดช่องว่างระหว่างผู้แพ้และชนะมีลักษณะที่ลดแคบลง และสะท้อนความเป็นจริง มากกว่าการมองว่าฝ่ายชนะนั้นต้องชนะเพราะ "เป็นเสียงข้างมากที่เข้มแข็ง" โดยนักวิชาการในสายนี้เริ่มปรับมุมมองอีกว่าการมีพรรคการเมืองหลายพรรคและมีรัฐบาลผสมก็อาจจะช่วยลดช่องว่างและลดความรุนแรงได้ เมื่อเทียบกับความรู้สึกของฝ่ายแพ้ในระบบเสียงข้างมากที่รู้สึกว่าต้องทำทุกวิถีทางเพื่อความถูกต้อง (ทั้งที่หากลองพิจารณาให้ดีในหลายสังคมนั้นคะแนนเสียงแพ้ชนะก็ไม่มาก และมีการร้องเรียนเรื่องการเลือกตั้งอยู่บ่อยๆ) หรือแม้กระทั่งความเชื่อที่ว่าจะต้องเพิ่มตัวแสดงที่มีอำนาจยับยั้งประชาธิปไตยเสียงข้างมากให้มากขึ้น แทนที่จะมองว่าเสียงข้างมากนั้นทำได้ทุกเรื่อง
แต่ต้องขอย้ำว่าที่อธิบายเช่นนี้ก็ต้องมีฐานความเชื่อก่อนว่าในสังคมนั้นๆ เขาแพ้ชนะกันไม่ได้เยอะในความเป็นจริง ? ไม่ใช่ในความเป็นจริงเขาแพ้ชนะกันเยอะๆ แล้วไปฝืนความเป็นจริงเอาไว้ด้วยมาตรการทางรัฐธรรมนูญที่ขัดกับสภาพความเป็นจริงของสังคมนั้นๆ
สุดท้ายก็หวังว่าบ้านเราคงจะพ้นสภาวะ "สองช่วงหมัด" และ "สองช่วงเก้าอี้" ได้เร็วๆ นะครับ แต่ทั้งนี้ก็ขึ้นกับฝ่ายแพ้ที่ต้องยอมรับว่าตนก็น่าจะมีโอกาสชนะได้ในอนาคต หรือมีความไว้เนื้อเชื่อใจว่าสิ่งที่ฝ่ายชนะเสนอนั้นไม่มีการหมกเม็ดยัดใส้
แต่ถ้าฝ่ายแพ้คิดว่าความรุนแรงทางนิติบัญญัติเป็นสิ่งที่จำเป็นต้องเกิดขึ้นและต้องเชื่อมโยงกับปัจจัยนอกระบบการเลือกตั้ง ซึ่งในบางสังคมก็ยังมีปัจจัยอีกหลายประการที่มีส่วนเชื่อมโยงและเกี่ยวเนื่องกับการดำรงอยู่ของประชาธิปไตยเอาไว้ด้วยแล้ว ความรุนแรงในทางนิติบัญญัติก็คงจะมีอยู่เรื่อยๆ และเป็นสิ่งที่ทำนายได้แต่แก้ไขได้ยาก และอาจทำได้แค่ทำให้ความรุนแรงทางนิติบัญญัตินั้นเป็นเพียงสีสันที่ีจำกัดวงอยู่ในรัฐสภาเท่านั้น
ส่วนฝ่ายชนะก็ต้องไม่คิดว่าตนเป็นเสียงข้างมากที่ถูกทุกเรื่องและจะทำอะไรก็ได้ เพราะการเป็นฝ่ายชนะนั้นก็ต้องคิดว่าชนะไม่ได้ทั้งหมดดังนั้น จุดยืนและมุมมองก็ไม่ควรสุดโต่งเพราะว่าจะต้องคำนึงถึงเสียงที่แพ้แต่ต้อง "ถูกนับ" เข้ามาด้วยเช่นกัน